เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2564 นางแคทเธอรีน ไท่ ผู้แทนการค้าของสหรัฐมีการแถลงผ่านช่องทาง Twitter ว่า สหรัฐฯ ได้ระงับความร่วมมือทั้งหมดกับเมียนมาตามที่ระบุอยู่ในข้อตกลงการค้าและการลงทุน เมื่อปี พ.ศ. 2556 โดยจะมีการฟื้นฟูความร่วมมืออีกครั้งอย่างเป็นทางการ เมื่อเมียนมากลับมาอยู่ภายใต้การบริหารของ “รัฐบาลซึ่งมาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง”
- พม่าประท้วง! ต้านรัฐประหาร ตายพุ่ง 250 ศพ
- สั่งแบน! “เฮียน เฮต ออง” นักเตะพม่า เพราะชู 3 นิ้ว
- เด็กหญิง ชาวเมียนมา 7 ขวบดับอนาถ เซ่นสลายชุมนุมม็อบต้านรัฐประหารมัณฑะเลย์
นอกเหนือจากการระงับความร่วมมือดังกล่าวแล้ว ไท่ยังเปิดเผยเกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการตัด สิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร (GSP) ที่เอื้อประโยชน์ให้กับสินค้าหลายประเภทที่ส่งออกมาจากเมียนมา เนื่องจากรัฐบาลทหารในกรุงเนปิดอว์กดขี่ข่มเหงด้านสิทธิมนุษยชนต่อชาวเมียนมาในระดับร้ายแรงขณะที่ คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) มีกำหนดประชุมฉุกเฉินครั้งใหม่เกี่ยวกับสถานการณ์ของเมียนมาในวันที่ 31 มีนาคม 2564 ซึ่งหลายฝ่ายมองว่าอาจไม่มีความคืบหน้ามากนัก จากการที่สมาชิกถาวร 2 ประเทศคือจีนและรัสเซีย ยังคงไม่สนับสนุนการออกแถลงการณ์ให้มีเนื้อหาประณามกองทัพเมียนมาโดยตรง และการให้ คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ กำหนดมาตรการกดดันทางเศรษฐกิจ เช่นเดียวกับอินเดียที่ถือว่าเป็นหนึ่งในประเทศมหาอำนาจของทวีปเอเชียและมีพรมแดนบางส่วนติดกับเมียนมา ก็แทบไม่แสดงความคิดเห็นในเรื่องนี้