“กองทัพอิสราเอล” และ “กองทัพกำลังฮามาส” ยังคงต่อสู้อย่างดุเดือด
เมื่อในวันที่ 12 พ.ค. เอพี รายงานความคืบหน้าสถานการณ์สู้รบระหว่างกองทัพอิสราเอล กับกองกำลังฮามาส ยังดำเนินไปอย่างดุเดือด แม้มีเสียงเรียกร้องจากชาติพันธมิตร สองฝ่ายยังคงใช้อาวุธสู้รบกันจนมีบาดเจ็บล้มตายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เป็นชาวปาเลสไตน์ 35 ราย ในจำนวนนี้เป็นเด็ก 10 ราย ผู้บาดเจ็บ 200 คน ส่วนชาวอิสราเอล มีผู้หญิงเสียชีวิต 3 ราย บาดเจ็บหลายสิบคน
กองทัพอิสราเอลที่มีอาวุธเหนือกว่า ใช้การทิ้งระเบิดถล่มทางอากาศในเขตกาซา ในที่นี้รวมถึงการโค่นอาคารกาซา ทาวเวอร์ ที่พักอาศัยสูง 13 ชั้นพังทลายลงมา โดยมีการประกาศเตือนให้ผู้คนออกจากอาคารก่อน
ส่วนที่ชุมชนชาวอาหรับทั่วแดนอิสราเอล มีประชาชนออกมาประท้วงเผารถยนต์ และปะทะกับตำรวจอย่างโกลาหล ต่อมาอิสราเอลต้องประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่เมืองล็อด
สถานการณ์ดังกล่าวทำลายขวัญมากที่สุดนับจากศึกรบเดือด 50 วัน เมื่อปี 2557 เพราะเกิดความรุนแรงต่อเนื่อง 24 ชั่วโมง โดยเฉพาะที่เขตกาซา มีแต่เสียงโจมตีทางอากาศอึกทึกเป็นระยะ พร้อมเสียงไซเรนดังสนั่นทั่วเมือง และที่นครเยรูซาเลมเต็มไปด้วยบรรยากาศตึงเครียดทางศาสนา คล้ายเป็นสงครามประหัตประหารกัน
อิสราเอลลั่นนี่แค่เริ่มต้น
นายเบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีสายแข็งของอิสราเอล แถลงทางโทรทัศน์ อาฆาตฮามาสและกองกำลังจิฮัดกลุ่มย่อยอื่นๆ ว่าได้ชดใช้ความก้าวร้าวอย่างสาสม ตามที่อิสราเอลทำลายและสร้างความเสียหายในการถล่มเป้าหมายนับร้อย
“ปฏิบัติการนี้จะต้องใช้เวลาอีกพักหนึ่ง เราจะฟื้นฟูความมั่นคงกลับมาให้พลเมืองแห่งอิสราเอลของเรา” นายเนทันยาฮูกล่าว โดยมีนายเบนนี แกนซ์ รมว.กลาโหม ที่เป็นคู่แข่งทางการเมืองยืนอยู่เคียงข้าง สะท้อนว่า ยามนี้การเมืองภายในผสานใจกัน
“ยังมีเป้าหมายอีกมากที่รอคิวอยู่ นี่แค่เป็นการเริ่มต้น” นายแกนซ์ กล่าว ขณะที่กองทัพเรียกกำลังพลเสริมเข้ามาประจำการอีก 5,000 นาย และส่งกำลังตรึงพรมแดนกาซารอบด้าน
ความรุนแรงล่าสุดนี้เชื่อมโยงกับช่วงเทศกาลถือศีลอดของชาวมุสลิม อิสราเอลถูกวิจารณ์หนักที่ส่งตำรวจทหารไปปะทะกับฝูงชน ถึงมัสยิดศักดิ์สิทธิ์ อัล อักซอ ในเขตเมืองเก่าของนครเยรูซาเลม ต่อเนื่อง 4 วัน ทั้งที่เป็นศาสนสถานสำคัญของชาวปาเลสไตน์ และเป็นมัสยิดศักดิ์สิทธิ์ที่มีความสำคัญเป็นอันดับสามของชาวมุสลิม
ข่าวเพิ่มเติม