เกาะติดข่าวดาราก่อนใคร

กดติดตาม “ทีวีพูล”

banner

นายพูลพัฒน์ ลีสมบัติไพบูลย์ โฆษกคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เปิดเผยว่า แนวโน้มค่าเงินบาทที่อ่อนตัวลงจากงวดก่อนหน้า 1.29 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ (งวดเดือน พ.ค.-ส.ค.) เป็น 36.63 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ รวมทั้งการผลิตไฟฟ้าพลังน้ำในประเทศและต่างประเทศ และการผลิตไฟฟ้าถ่านหินแม่เมาะของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ที่มีต้นทุนราคาถูก มีความพร้อมในการผลิตลดลง ท่ามกลางราคาก๊าซธรรมชาติเหลว (แอลเอ็นจี) ในตลาดโลกปรับเพิ่มขึ้นจากงวดก่อน 3.2 เหรียญสหรัฐฯต่อล้านบีทียู จากความต้องการในตลาดโลกที่เพิ่มขึ้นจากการเข้าสู่ฤดูหนาวช่วงปลายปี ถือเป็น 3 สาเหตุหลักที่อยู่เหนือการควบคุม ส่งผลให้ต้นทุนค่าเชื้อเพลิงการผลิตไฟฟ้าของไทยสูงขึ้น เมื่อรวมกับการที่ต้องทยอยคืนหนี้ค่าเชื้อเพลิงค้างชำระในงวดก่อนหน้าให้กับ กฟผ.จึงส่งผลให้ค่าไฟฟ้างวดเดือน ก.ย.-ธ.ค.นี้ ต้องปรับเพิ่มขึ้นแน่นอน

“ทำให้ค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (ค่าเอฟที) ต้องปรับขึ้นในระดับ 46.83-182.99 สตางค์ (สต.) ต่อหน่วย เมื่อรวมค่าไฟฟ้าฐานที่ 3.7833 บาทต่อหน่วย ส่งผลให้ค่าไฟฟ้าเรียกเก็บงวด ก.ย.-ธ.ค.นี้ จะเพิ่มขึ้นเป็น 4.65-6.01 บาทต่อหน่วย จากงวด พ.ค.-ส.ค.อยู่ที่ 4.18 บาท” นายพูลพัฒน์กล่าว

ดังนั้น กกพ.จะได้นำค่าเอฟทีประมาณการ และแนวทางการจ่ายภาระต้นทุนที่เกิดขึ้นจริงของ กฟผ.ไปรับฟังความคิดเห็น ผ่านเว็บไซต์ กกพ.ตั้งแต่วันที่ 12-26 ก.ค.นี้ ก่อนสรุปและประกาศอย่างเป็นทางการ ดังนี้

กรณีที่ 1. ผลการคำนวณตามสูตรการปรับค่าเอฟที (จ่ายคืนภาระต้นทุนคงค้างทั้งหมด) ค่าเอฟทีขายปลีกเท่ากับ 222.71 สต.ต่อหน่วย ซึ่งเป็นการเรียกเก็บตามผลการคำนวณตามสูตรการปรับค่าเอฟที ที่สะท้อนแนวโน้มต้นทุนเดือน ก.ย.-ธ.ค. 34.30 สต.ต่อหน่วย และเงินเรียกเก็บเพื่อชดเชยต้นทุนคงค้าง (AF) ที่เกิดขึ้นจริงของ กฟผ. 98,495 ล้านบาท หรือ 163.39 สต.ต่อหน่วย และมูลค่า AFGAS (ต้นทุนคงค้างราคาก๊าซธรรมชาติ) 15,083.79 ล้านบาท หรือ 25.02 สต.ต่อหน่วย รวมทั้งสิ้น 188.41 สตางค์ต่อหน่วย โดย กฟผ.จะได้รับเงินที่รับภาระแทนประชาชนตั้งแต่เดือน ก.ย.64-เม.ย.67 คืนทั้งหมดภายในเดือน ธ.ค.นี้ เพื่อนำไปชำระหนี้เงินกู้ และรัฐวิสาหกิจที่ประกอบกิจการก๊าซธรรมชาติ จะได้รับเงินคืนส่วนต่างราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับภาคไฟฟ้าคืนทั้งหมด เมื่อรวมค่าเอฟทีขายปลีกที่คำนวณได้กับค่าไฟฟ้าฐานที่ 3.78 บาท ส่งผลให้ค่าไฟฟ้าเฉลี่ย (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ปรับขึ้นเป็น 6.01 บาทต่อหน่วย เพิ่มขึ้น 44% จากระดับ 4.18 บาทต่อหน่วย ในงวดปัจจุบัน

กรณีที่ 2. กรณีจ่ายคืนภาระต้นทุนคงค้าง 3 งวด ค่าเอฟทีขายปลีกเท่ากับ 113.78 สต.ต่อหน่วย สะท้อนแนวโน้มต้นทุนเดือน ก.ย.-ธ.ค. 34.30 สต.ต่อหน่วย และทยอยชำระคืนต้นทุนคงค้างที่ กฟผ.ออกเป็น 3 งวด งวดละ 32,832 ล้านบาท คิดเป็น 54.46 สต.ต่อหน่วย และมูลค่า AFGAS 15,083.79 ล้านบาท คิดเป็น 25.02 สต.ต่อหน่วย รวมทั้งสิ้น 79.48 สต.ต่อหน่วย โดยสิ้นเดือน ธ.ค.นี้ จะมีภาระต้นทุนคงค้างที่ กฟผ.คงเหลือที่ 65,663 ล้านบาท ขณะที่รัฐวิสาหกิจจะได้รับส่วนต่างราคาก๊าซธรรมชาติคืนทั้งหมด เมื่อรวมค่าเอฟทีขายปลีกกับค่าไฟฟ้าฐาน ส่งผลให้ค่าไฟฟ้าเฉลี่ยปรับขึ้นเป็น 4.92 บาทต่อหน่วย หรือเพิ่มขึ้น 18% จากงวดปัจจุบัน

กรณีที่ 3. จ่ายคืนภาระต้นทุนคงค้างใน 6 งวด ค่าเอฟทีขายปลีกเท่ากับ 86.55 สต.ต่อหน่วย สะท้อนแนวโน้มต้นทุนเดือน ก.ย.-ธ.ค.นี้ 34.30 สต.ต่อหน่วย และทยอยชำระคืน กฟผ. 6 งวด งวดละ 16,416 ล้านบาท คิดเป็น 27.23 สต.ต่อหน่วย และมูลค่า AFGAS 15,083.79 ล้านบาท หรือ 25.02 สต.ต่อหน่วย รวมทั้งสิ้น 52.25 สต.ต่อหน่วย ส่งผลให้ค่าไฟฟ้าเฉลี่ย (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ปรับขึ้นเป็น 4.65 บาทต่อหน่วย เพิ่มขึ้น 11% จากงวดปัจจุบัน แต่มีภาระต้นทุนคงค้างที่ กฟผ.อยู่ 82,079 ล้านบาท

“หากรัฐต้องการตรึงค่าไฟฟ้าที่หน่วยละ 4.18 บาทเท่าเดิม จะต้องหางบมาเพิ่ม 28,000 ล้านบาท มี 2 แนวทางคือ ยืดจ่ายหนี้ กฟผ.จาก 0.2723 เหลือ 0.05 สต.ต่อหน่วย จะทำให้มีหนี้คงค้างเพิ่มขึ้นจาก 98,495 ล้านบาท บวก 28,000 ล้านบาท เป็น 126,495 ล้านบาท หรือใช้วิธีนำมูลค่าส่วนต่างราคาก๊าซธรรมชาติที่เกิดขึ้นจริง กับราคาก๊าซธรรมชาติที่เรียกเก็บเดือน ก.ย.-ธ.ค.66 มาตรึงราคาก๊าซธรรมชาติส่วนที่ต้องจ่าย ให้ ปตท. และ กฟผ.ในฐานะจัดหาเชื้อเพลิงเพื่อมาทดในส่วนของ 28,000 ล้านบาท แต่ถ้ายอมให้ปรับขึ้นค่าไฟฟ้าหน่วยละ 6.01 บาท ถือว่าเจ็บแต่จบ เพราะจะใช้หนี้ กฟผ.หมดในงวดเดียว จากนั้นงวดแรก ปี 68 มีโอกาสที่ค่าเอฟทีจะลดลงหน่วยละ 1.80 บาท ทำให้ค่าไฟฟ้าลดลงจากหน่วยละ 6.01 บาท เหลือราวหน่วยละ 4.20 บาทได้”

ข่าวที่น่าสนใจ

ด.ช.วัย 14 ถูกไฟดูดในงานแข่งเรือยาว ชัยนาท เสียชีวิต

ส่องความน่ารักคุณหนูหมื่นล้าน “เอวา” กับบอดี้การ์ดข้างกาย ทำถึงจนแฟนคลับเอ่ยปากชม