ทำไม “อดีตส.ส.” ที่เคยร่วมกับ “นายสุเทพ เทือกสุบรรณ” ส่วนใหญ่ จึงไม่เข้าร่วมกับพรรครวมพลังประชาชาติไทย แม้กระทั่ง “นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์” ก็วางเฉย
ทั้งๆที่ “นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์” อยู่บ้านเดียวกันกับ “นายสุเทพ เทือกสุบรรณ” และดำรงอยู่ในฐานะเลขาธิการมูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศ
ยิ่งกว่านั้น “นายชุมพล จุลใส” ซึ่งเคยถือปืนคุ้มกัน “นายสุเทพ เทือกสุบรรณ” ก็ยังไม่ยอมออกจากพรรคประชาธิปัตย์จะมีก็แต่คนในตระกูล ”เทือกสุบรรณ” เท่านั้น
ความสงสัยนี้จึงรวมศูนย์ไปยังความจริงจังของพรรครวมพลังประชาชาติไทย
คำถามก็คือ “แกนนำ” ระดับ “นายถาวร เสนเนียม” ระดับ “นายวิทยา แก้วภราดัย” ระดับ “นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย” จะเลือกทิศ ทางใด
คำตอบเด่นชัดยิ่งว่า เลือกพรรรคประชาธิปัตย์
“แกนนำ” บางคนในพื้นที่กทม.เด็ดเดี่ยวมากยิ่งกว่า 3 คนที่เอ่ยนามมาแล้ว หลายคนเลือกไปทาง “พรรคพลังประชารัฐ” อาจเพราะไม่แน่ใจในความโดดเด่นของพรรครวมพลังประชาชาติไทยที่มี “นายสุเทพ เทือกสุบรรณ” ผนึกตัวรวมพลังกับ “นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์” เกรงว่าจะซ้ำรอยกับความล้มเหลวของ”พรรคมหาชน” เพราะว่าพรรคมหาชนมี “พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์” ขณะที่พรรครวมพลังประชาชาติไทยมี “นายสุเทพ เทือกสุบรรณ” ครอบเหนือ “นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์” อีกทอดหนึ่ง
ผลก็คือ พรรคมหาชน ได้ ส.ส.มาเพียง 2 คน ไม่ก่อมรรคผลอะไรเลยในทางการเมือง
แล้วชะตากรรมพรรครวมพลังประชาชาติไทยจะเป็นอย่างไร
เท่ากับสะท้อนให้เห็นว่า “แกนนำ” ระดับหัวกะทิที่เคยร่วมเคลื่อนไหวกับกปปส.มีทิศทาง 2 ทิศทาง
1 เชื่อว่าพรรคประชาธิปัตย์เหนือกว่า 1 เชื่อว่าพรรคพลังประชารัฐ หนักแน่นและจริงจังกว่าพรรค รวมพลังประชาชาติไทย
ความหมายจึงหมายความว่าไม่เชื่อน้ำยาของ “นายสุเทพ เทือกสุบรรณ”
จึงตรึงอยู่กับ”ประชาธิปัตย์”จึงเหไปทาง”พลังประชารัฐ”