ล่าสุด เมื่อเวลา 17.00 น. วันที่ 24 ก.ค. 61 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นางสาว วิภา บานเย็นครูคนดังกล่าว ซึ่งเป็นผู้อำนวยการโรงเรียนมัธยมฯ แห่งหนึ่งในจังหวัดกำแพงเพชร ได้เปิดใจทั้งน้ำตา หลังเซ็นค้ำประกันการกู้เงิน กยศ.ให้ลูกศิษย์ ตั้งแต่ปี พ.ศ.2541 จำนวน 60 คน คนละประมาณหมื่นกว่าบาท
โดยครูวิภาได้เปิดเผยรายละเอียดว่า ตอนนั้นเธอสอบบรรจุข้าราชการครูได้เมื่อปี พ.ศ.2538 จึงเข้ารับราชการครูที่โรงเรียนแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นโรงเรียนประจำตำบลใน จ.กำแพงเพชร เป็นโรงเรียนระดับมัธยมศึกษา ต่อมาในปี พ.ศ.2541 ได้มีการเปิดกองทุนให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาเป็นครั้งแรกของโรงเรียนดังกล่าว จึงมีนักเรียนเข้าร่วมกองทุนให้กู้ยืมกันเป็นจำนวนมาก เนื่องจากส่วนใหญ่เด็กนักเรียนที่โรงเรียนเป็นเด็กที่มีฐานะทางบ้านไม่ค่อยดี ตนเองจึงได้เซ็นค้ำประกันร่วมกับผู้ค้ำคนอื่น ซึ่งเป็นพ่อแม่หรือญาติให้กับเด็กๆ ในห้อง ที่เป็นเด็กนักเรียนในความดูแล เพราะเป็นครูประจำชั้น และเห็นว่านักเรียนจะได้มีเงินสำหรับเป็นค่าใช้จ่ายต่างๆ ในการศึกษาเล่าเรียน โดยไม่ได้คิดอะไร คิดเพียงให้เด็กนักเรียนจะได้มีอนาคตด้านการศึกษา
แต่ปรากฏว่า มี 30 คน เบี้ยวหนี้ ไม่ยอมจ่าย รวมกันเกือบล้านบาท เธอจึงไปพูดคุยขอร้องถึงที่บ้าน คำตอบที่ได้คือ ไม่มีจ่าย ในจำนวนเงินหมื่นกว่าบาท จนเธอต้องถูกยึดทรัพย์สินทั้งหมดเมื่อกลางเดือนกรกฏาคมที่ผ่านมา โดยเธอเพิ่งจ่ายหนี้ให้กับลูกศิษย์ไป 4 คน จาก 30 คน ที่เบี้ยวหนี้ ทั้งหมด 90,000 บาท เหลือล็อต 2 อีก 4 คน กว่า 1.2 แสนบาท รวมจำนวนทั้งหมดกว่าล้านบาท ที่จะต้องจ่ายในอนาคต
โดยครูวิภามีความกังวลและเครียดมาก เพราะตอนนี้ไม่สามารถกู้เงินจากที่ไหนได้ ไม่มีหลักทรัพย์ หากไม่มีเงินจ่าย อาจถูกฟ้องล้มละลาย อาชีพครูที่เธอรักมาตลอด ต้องจบลง ที่ผ่านมา เธอหวังเพียงให้ลูกศิษย์ได้เรียนต่อ เรียนจบในชั้นสูงๆ มีหน้าที่การงานทำเลี้ยงดูครอบครัว โดยไม่คิดถึงผลกระทบที่จะตามมา และยังหวังว่าลูกศิษย์ที่เธอสอนเติบโตมาจะคิดได้และเป็นคนดี ไม่คิดว่าวันนี้จะต้องมาเจอเรื่องเดือดร้อนขนาดนี้
“ขอให้เห็นใจครู ขอให้ติดต่อกลับ และหาวิธีการชำระหนี้สินที่นักเรียนกู้ไปเพื่อการศึกษา เพื่ออนาคตของนักเรียนเอง แต่ครูซึ่งไม่ได้รับประโยชน์อะไรด้วย แต่เซ็นค้ำประกันช่วย เพื่อให้นักเรียนได้มีอนาคตทางการศึกษาที่ดี แต่กลับเกิดเหตุการเช่นนี้ขึ้น ทำให้ครูเดือดร้อนมาก” ครูวิภา กล่าว
โดยครูวิภาได้เปิดเผยรายละเอียดว่า ตอนนั้นเธอสอบบรรจุข้าราชการครูได้เมื่อปี พ.ศ.2538 จึงเข้ารับราชการครูที่โรงเรียนแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นโรงเรียนประจำตำบลใน จ.กำแพงเพชร เป็นโรงเรียนระดับมัธยมศึกษา ต่อมาในปี พ.ศ.2541 ได้มีการเปิดกองทุนให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาเป็นครั้งแรกของโรงเรียนดังกล่าว จึงมีนักเรียนเข้าร่วมกองทุนให้กู้ยืมกันเป็นจำนวนมาก เนื่องจากส่วนใหญ่เด็กนักเรียนที่โรงเรียนเป็นเด็กที่มีฐานะทางบ้านไม่ค่อยดี ตนเองจึงได้เซ็นค้ำประกันร่วมกับผู้ค้ำคนอื่น ซึ่งเป็นพ่อแม่หรือญาติให้กับเด็กๆ ในห้อง ที่เป็นเด็กนักเรียนในความดูแล เพราะเป็นครูประจำชั้น และเห็นว่านักเรียนจะได้มีเงินสำหรับเป็นค่าใช้จ่ายต่างๆ ในการศึกษาเล่าเรียน โดยไม่ได้คิดอะไร คิดเพียงให้เด็กนักเรียนจะได้มีอนาคตด้านการศึกษา
แต่ปรากฏว่า มี 30 คน เบี้ยวหนี้ ไม่ยอมจ่าย รวมกันเกือบล้านบาท เธอจึงไปพูดคุยขอร้องถึงที่บ้าน คำตอบที่ได้คือ ไม่มีจ่าย ในจำนวนเงินหมื่นกว่าบาท จนเธอต้องถูกยึดทรัพย์สินทั้งหมดเมื่อกลางเดือนกรกฏาคมที่ผ่านมา โดยเธอเพิ่งจ่ายหนี้ให้กับลูกศิษย์ไป 4 คน จาก 30 คน ที่เบี้ยวหนี้ ทั้งหมด 90,000 บาท เหลือล็อต 2 อีก 4 คน กว่า 1.2 แสนบาท รวมจำนวนทั้งหมดกว่าล้านบาท ที่จะต้องจ่ายในอนาคต
โดยครูวิภามีความกังวลและเครียดมาก เพราะตอนนี้ไม่สามารถกู้เงินจากที่ไหนได้ ไม่มีหลักทรัพย์ หากไม่มีเงินจ่าย อาจถูกฟ้องล้มละลาย อาชีพครูที่เธอรักมาตลอด ต้องจบลง ที่ผ่านมา เธอหวังเพียงให้ลูกศิษย์ได้เรียนต่อ เรียนจบในชั้นสูงๆ มีหน้าที่การงานทำเลี้ยงดูครอบครัว โดยไม่คิดถึงผลกระทบที่จะตามมา และยังหวังว่าลูกศิษย์ที่เธอสอนเติบโตมาจะคิดได้และเป็นคนดี ไม่คิดว่าวันนี้จะต้องมาเจอเรื่องเดือดร้อนขนาดนี้
“ขอให้เห็นใจครู ขอให้ติดต่อกลับ และหาวิธีการชำระหนี้สินที่นักเรียนกู้ไปเพื่อการศึกษา เพื่ออนาคตของนักเรียนเอง แต่ครูซึ่งไม่ได้รับประโยชน์อะไรด้วย แต่เซ็นค้ำประกันช่วย เพื่อให้นักเรียนได้มีอนาคตทางการศึกษาที่ดี แต่กลับเกิดเหตุการเช่นนี้ขึ้น ทำให้ครูเดือดร้อนมาก” ครูวิภา กล่าว