เกาะติดข่าวดาราก่อนใคร

กดติดตาม “ทีวีพูล”

banner

ความคืบหน้า เมื่อเวลา 11.00 น.วันที่ 1 ส.ค. ที่สน.โชคชัย “พ.ต.อ.สุพล ค้ำชู” ผกก.สน.โชคชัย เปิดเผยว่า จัดชุดสืบสวน สน.โชคชัย ร่วมกับชุด บก.น.4 ติดตามตัว “นายอัศยา” หรือ โก้ ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา เลขที่ 1704/61 ลงวันที่ 31 ก.ค. ข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา และลักทรัพย์ในเวลากลางคืน ล่าสุดพบว่า “นายอัศยา” หลบหนีไปที่จังหวัดจันทบุรีโดยใช้รถเบนซ์ อี 220 เลขทะเบียน 6 กฒ 1937 กรุงเทพมหานคร ของ “น.ส.ธิติมา” โดยพบว่าจอดไว้ที่อำเภอโป่งน้ำร้อน แล้วถอดป้ายทะเบียนทิ้ง ก่อนหลบหนีไปต่อ จึงประสานทางตม.จับตาดู หากหลบหนีออกประเทศเพื่อนบ้าน

“พ.ต.อ.สุพล” กล่าวต่อว่า จากการตรวจสอบกล้องวงจรปิดภายในโรงแรม พบ “น.ส.ธิติมา” พร้อมกับ “นายอัศยา” เข้าห้องพักวันที่ 26 ก.ค. ช่วงเวลาประมาณ 22.41 น. จากนั้นวันที่ 27 ก.ค.เวลาประมาณ 01.55 น. “นายอัศยา” ก็เดินออกจากห้องพักไปเพียงคนเดียว โดยที่ญาติโทร.ติดต่อ “น.ส.ธิติมา” ช่วงเช้าวันที่ 27 ก.ค. แต่ นายอัศยา” เป็นคนรับโทรศัพท์ แล้วบอกว่าผู้ตายกำลังทำบุญอยู่ ให้ติดต่อมาใหม่ จากนั้นทางญาติก็ได้ส่งข้อความทางไลน์ถึงผู้ตาย ติดต่อเรื่องธุรกิจ แต่ไม่มีการอ่านข้อความหรือตอบกลับแต่อย่างใด จึงเกรงว่า “น.ส.ธิติมา” จะได้รับอันตราย จึงเข้าแจ้งความคนหายที่ สน.พหลโยธิน ช่วงเย็นวันที่ 27 ก.ค. จากนั้นจึงเริ่มตระเวนหาตามโรงแรมต่างๆ จนวันที่ 30 ก.ค.เข้าไปสอบถามในห้องพักในซอยประดิษฐ์มนูธรรม จนทราบว่า “น.ส.ธิติมา” มาเปิดห้องพักไว้ จึงให้เจ้าหน้าที่ของโรงแรมใช้กุญแจสำรองเปิดห้องจึงพบศพ น.ส.ธิติมา

รายงานข่าวแจ้งว่า จากการตรวจสอบข้อมูลทราบว่า “นายอัศยา ชัยภา” ผู้ต้องหา หลบหนีไปทาง อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี คาดว่าอาจจะหลบหนีข้ามชายแดนไปฝั่งเขมร ชุดสืบสวนกก.สส.บก.น.4 กำลังตรวจสอบหาข้อมูลเบาะแสเพิ่มเติม นอกจากนี้ยังพบข้อมูลอีกว่านายอัศยาเคยทำร้ายร่างกายผู้ตายด้วยการบีบคอ โดยผู้ตายได้ไปแจ้งความไว้ที่ สน.โชคชัย

ต่อมาเมื่อเวลา 13.40 น. ที่ด่านชายแดนไทย-กัมพูชา อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี พ.ต.อ.ประเสริฐสุข เฮงสุวรรณ์ ผกก.สภ.โป่งน้ำร้อน นำทีมตรวจสอบรถเบนซ์ของน.ส.ธิติมา ที่นายอัศยาใช้หลบหนี จอดอยู่ลานจอดรถฝั่งประเทศไทย สภาพถูกถอดป้ายทะเบียนทั้งหน้า-หลัง เมื่อตรวจสอบวงจรปิดลานจอดรถ ก็พบว่ารถคันดังกล่าวขับเข้ามาในเวลา 18.43 น.ของวันที่ 27 ก.ค. ในภาพติดป้ายทะเบียน 6กฒ1937 กรุงเทพมหานคร และปรากฏภาพของชายฉกรรจ์ ซึ่งเป็นคนขับขณะที่ลดกระจกฝั่งคนขับลง ในลักษณะสวมเสื้อยืดสีขาว สวมหมวกปีกเต็มใบ ปิดอำพราง พบว่าคือนายอัศยานั่นเอง อย่างไรก็ตามเมื่อตรวจสอบวงจรปิดหน้าด่านจุดผ่านแดนถาวรบ้านผักกาด ไม่พบว่านายอัศยาผ่านเข้ามา จึงคาดว่าอาจจะใช้ช่องหมาลอด หรือผ่านทางพรมแดนธรรมชาติ ให้คนในพื้นที่ช่วยพาออกไปกลบด่านที่บ่อนในประเทศกัมพูชา

ต่อมาตำรวจวิทยาการ กองพิสูจน์หลักฐาน ตรวจสอบเก็บวัตถุพยานและลายนิ้วมือแฝง แล้วนำรถเบนซ์ขึ้นรถสไลด์ มาเก็บรักษาที่สน.โชคชัย

ทั้งนี้จากการตรวจสอบความเคลื่อนไหวทางบัญชีธนาคารของน.ส.ธิติมา พบว่าก่อนพบศพ มีการถอนเงินออกจากธนาคารเป็นเงินประมาณ 2 แสนบาท แต่วันที่พบศพ กลับไม่พบเงินจำนวนดังกล่าว ทั้งนี้ยังมีรายงานข่าวอีกว่าเจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการตรวจสอบว่ารถเบนซ์ของผู้ตายที่คนร้ายนำไปจอดทิ้งไว้ในลานจอดรถตลาดในอ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี นั้นเป็นการมาจอดทิ้งไว้เฉยๆ หรือเป็นการจำนำไว้กับผู้ใดหรือไม่

พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ ผกก.ด่านตรวจคนเข้าเมือง จ.จันทบุรี เปิดเผยว่า จากการตรวจสอบไม่พบข้อมูลการเดินทางออกประเทศไทยผ่านทางด่านตรวจคนเข้าเมืองของนายอัศยา ก่อนและหลังมีหมายจับ อย่างไรก็ตามกำลังตรวจสอบข้อมูลย้อนหลังว่ามีการเดินทางเข้าออกผ่านด่านดังกล่าวบ่อยครั้งหรือไม่ ทั้งนี้เป็นไปได้ที่จะหลบหนีผ่านช่องทางธรรมชาติ ซึ่งยากต่อการตรวจสอบ

ที่ศาลา 1 วัดบางบัว แขวงอนุสาวรีย์ เขตบางเขน กทม. ซึ่งเป็นสถานที่ตั้งศพบำเพ็ญกุศล ของน.ส.ธิติมา นายพิพัฒน์ ตั้งวิบูลย์พาณิชย์ อายุ 36 ปี น้องชายของผู้ตาย เปิดเผยว่า ตนกับพี่สาวสนิทกัน ติดต่อพูดคุยอยู่เสมอ แต่พี่สาวไม่ค่อยพูดเรื่องส่วนตัว รวมไปถึงนายอัศยา ก็ไม่เคยทราบว่าคบหากัน ก่อนหน้านี้ก็เห็น นายอัศยา ทำงานอยู่ในบริษัทของพี่สาว แต่ก็ไม่พบพฤติกรรมที่ส่อแววว่าเป็นมากกว่าเจ้านาย-ลูกน้อง แต่เพิ่งทราบเมื่อ 2-3 เดือนที่ผ่านมา

ส่วนเรื่องเข้าพักที่โรงแรมที่เกิดเหตุ ทางครอบครัวก็ไม่ทราบ คาดว่าพี่สาวต้องการปกปิดความสัมพันธ์ระหว่างนายอัศยา ส่วนชนวนการลงมือก่อเหตุ อาจจะเป็นเรื่องเงิน และผลประโยชน์

ด้านนายอำนวย วิชัยโชติ อายุ 66 ปี พ่อของน.ส.ธิติมา เปิดเผยว่า ช็อกมากเมื่อได้ข่าวลูกสาวเสียชีวิต เพราะเวลาทำธุรกิจก็ไม่เคยมีความขัดแย้งกับใคร ส่วนนายอัศยาไม่เคยทราบว่ามีความสัมพันธ์เป็นมาอย่างไรกับลูกสาว และก็ไม่มีสัญญาณว่า จะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น

นายอำนวยกล่าวว่า ลูกสาวมีบริษัทธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง เมื่อเร็วๆ นี้จัดทำโครงการอาคารเอื้ออาทรกว่า 100 ห้อง ย่านลาดพร้าว-วังหิน ซึ่งอยู่ระหว่างก่อสร้าง ลูกสาวก็เป็นที่รักของคนในชุมชนนั้น เพราะเข้าไปช่วยเหลือชาวบ้าน ซึ่งปกติก็ชอบช่วยเหลือคนอื่นอยู่เสมอ การจากไปครั้งนี้จึงเป็นอะไรที่ตนตั้งรับไม่ทัน

นายอำนวยกล่าวว่า ตนทำธุรกิจรับเหมาอยู่ที่ อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี แต่ลูกสาวมาทำในเขตกรุงเทพฯ ยอมรับว่าลูกสาวเป็นคนเก่ง สามารถแยกตัวออกมาทำธุรกิจให้เติบโตอย่างรวดเร็ว แต่ตนก็เตือนเสมอว่า ต้องคอยระมัดระวังตัว เพราะอาจจะมีการขัดแย้ง หรือถูกทำร้ายได้ แต่ลูกสาวก็ค่อนข้างไม่ฟังคำเตือน เพราะเชื่อมั่นในตัวเองมาก โดยเมื่อ 2 ปีก่อน ลูกสาวเคยหายตัวไปประมาณ 2-3 วัน ตอนนั้นตนก็ถามว่าไปไหนมา เขาก็ไม่เล่ารายละเอียดให้ฟัง เป็นคนชอบเก็บทุกอย่างไว้กับตัวเองเสมอ ก่อนเกิดเหตุก็เป็นแบบเดียวกัน คือลูกสาวหายตัวไปติดต่อไม่ได้ จึงได้ให้ลูกชายช่วยตามหาจากสัญญาณโทรศัพท์มือถือ จนพบตัวในห้องพักดังกล่าว

“ส่วนนายอัศยาไม่เคยทราบว่ามีความสัมพันธ์เป็นมาอย่างไรกับลูกสาว แต่เขาเคยพามากินข้าวกับครอบครัวด้วย 2 ครั้ง แต่ก็ไม่ได้อธิบายว่าเป็นใคร เพราะรู้ว่าถ้าลูกสาวไม่พูด หมายถึงเขาไม่อยากให้รู้ ความรู้สึกของผมตอนนี้คืออยากจะเอาตัวคนร้ายมาลงโทษ นอกเหนือไปจากการดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรมแล้ว ใจจริงอยากจะให้โดนเหมือนที่ลูกสาวโดนด้วย ให้สาสมกับการกระทำผิด” นายอำนวยกล่าว

“เจอลูกสาวครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 26 ก.ค. เขาซื้อก๋วยเตี๋ยวมาให้ที่คอนโดฯย่านวังหิน จากนั้นก็ไม่ได้คุยกัน แต่ก็ผิดสังเกตที่ไลน์กลุ่มครอบครัว เชอรี่ไม่ได้เข้ามาทักเหมือนปกติ จนกระทั่งทราบข่าวว่าเสียชีวิต ส่วนนาย อัศยา เคยเจอที่บริษัทลูกสาว รู้สึกไม่ถูกชะตา แต่เตือนลูกไม่ฟัง หลังเกิดเหตุเลยรู้ว่าเขามีครอบครัวแล้ว และถูกภรรยาจับได้ว่ามาคบกับเชอรี่ จนเขาตัดสินใจเลิกกับภรรยา เบื้องต้นทราบว่าตำรวจสอบปากคำภรรยานาย อัศยาเรียบร้อยแล้ว” นายอำนวยกล่าว

นายปฐมพัฒน์ ตั้งวิบูลย์พาณิชย์ อายุ 40 ปี พี่ชายเชอรี่ กล่าวว่า ปกติแล้วจะคุยเรื่องทั่วไปในไลน์กลุ่มครอบครัว จนเมื่อเชอรี่หายไปหลายวัน น้องชายเป็นห่วงจึงออกตามหา โดยพยายามติดต่อเชอรี่ผ่านนายอัศยา ซึ่ง นายอัศยาบอกว่า เชอรี่ติดธุระที่อื่น สุดท้ายน้องชายตามหาจนเจอพบเป็นศพ โดยก่อนหน้านี้เชอรี่เคยพานายอัศยามาแนะนำว่าเป็นคนเชี่ยวชาญด้านงานก่อสร้าง และให้มาทำงานในตำแหน่งผู้จัดการส่วนตัว คอยดูแลเรื่องงานอย่างใกล้ชิด

นายปฐมพัฒน์เปิดเผยว่า ตั้งแต่เด็กเชอรี่จะทำอะไรเองคนเดียว ทั้งมาเรียนที่กรุงเทพฯ มีแผนจะไปเรียนต่อต่างประเทศก็ไปคนเดียว ไปเปิดร้านอาหารที่อเมริกา ก่อนจะขายกิจการแล้วกลับมาที่ไทย เมื่อเชอรี่กลับมา ก็ตั้งบริษัททำงาน เป็นเสาหลักของครอบครัว และก็เคยสัมภาษณ์ลงนิตยสารว่าฝันอยากสร้างบ้านให้คนอยู่ อยากให้ทุกคนมีบ้านอยู่ในราคาถูก ซึ่งหลังจากนี้ทางครอบครัวก็ได้คุยปรึกษากับผู้เกี่ยวข้องของโครงการ ขณะนี้ก็อนุญาตให้ครอบครัวเข้าดำเนินการก่อสร้างให้เสร็จ เพื่อสานฝันของเชอรี่ให้สมบูรณ์

ด้านป้าแต๋ม ผู้ร่วมงานของน.ส.ธิติยา เปิดเผยว่า เชอรี่นิสัยน่ารัก อบอุ่นใจดี ชอบช่วยเหลือคน คนที่ร่วมงานด้วย ต่างก็รักใคร่เชอรี่ มีครั้งหนึ่งเชอรี่พานายอัศยา มาแนะนำกับคนที่โครงการ ตนก็รู้สึกไม่ไว้ใจชายคนนี้ เพราะมีแววว่าจะมาหลอกเชอรี่ เพื่อเอาเงิน และผลประโยชน์ โดยเฉพาะการเข้ามาแทรกแซงการทำงาน วุ่นวาย ทำตัวเหมือนเป็นเจ้าของบริษัท หลายคนจึงเตือนไปว่า อย่าไว้ใจคนนี้ หลังจากนั้นเขาก็ไม่พามาอีกเลย ก่อนจะพบว่าเกิดเรื่องเศร้านี้ขึ้น ซึ่งหลายคนก็รู้สึกเสียใจ เพราะเชอรี่กำลังสร้างโครงการห้องพักราคาถูกอยู่

หลังจากให้สัมภาษณ์เสร็จ ป้าแต๋มก็เปิดคลิปของน.ส.ธิติยา และนายพิพัฒน์ น้องชาย ที่กำลังร้องไห้ดีใจ หลังทำโครงการก่อสร้างเสร็จสิ้น และส่งมอบให้กับชาวบ้าน ที่รุมล้อมทั้งคู่ พร้อมกล่าวขอบคุณที่เข้ามามีส่วน ช่วยเหลือ