เกาะติดข่าวดาราก่อนใคร

กดติดตาม “ทีวีพูล”

banner

ได้เฮอีกแล้ว  นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติการเติมเงินเข้ากระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ให้กับผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ที่แสดงความประสงค์จะพัฒนาตนเองในแบบประเมินและเมนูการพัฒนารายบุคคล โดยการปรับเปลี่ยนการเพิ่มวงเงินค่าซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นรายเดือน ที่รายได้ไม่เกิน 30,000 บาท วงเงิน 200 บาท/เดือน/คน และผู้มีบัตรฯ ที่มีรายได้เกิน 30,000 บาท เพิ่มวงเงิน 100 บาท/เดือน/คน ระยะเวลาโครงการตั้งแต่เดือนก.ย.-ธ.ค. 2561 โดยวงเงิน 200 บาท และ 100 บาท ที่ได้จะสามารถถอนเป็นเงินสดได้จากตู้เอทีเอ็มของธนาคารกรุงไทย

โดยวงเงินที่ให้เพิ่มเติม 200 บาท/เดือน/คน และ 100 บาท/เดือน/คน หากใช้ไม่หมดสามารถสะสมไปเรื่อยๆ แล้วกดทีเดียวก็ได้ ซึ่งมาตรการที่ครม. อนุมัติในวันนี้ เกิดจากมีผู้ถือบัตร เรียกร้องให้สามารถถอนเงินออกมาใช้ได้ เพราะที่ผ่านมาเงินที่ใช้ไม่หมดจะถูกส่งคืนคลัง การอนุมัติให้สามารถถอนเงินสดออกมาได้ครั้งนี้ เพื่อเป็นการเพิ่มทางเลือกและกำลังซื้อให้แก่ผู้มีสิทธิสามารถนำเงินไปใช้จ่ายได้ตามความต้องการ อันจะช่วยบรรเทาปัญหาค่าครองชีพ และส่งเสริมให้เกิดการหมุนเวียนของระบบเศรษฐกิจ

ทั้งนี้ กระทรวงการคลังได้ดำเนินการเพิ่มวงเงินสวัสดิการค่าซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นฯ ให้แก่ ผู้มีสิทธิแล้วเป็นระยะเวลา 6 เดือน ระหว่างเดือนมี.ค.-ส.ค. 2561 จำนวนเงินทั้งสิ้น 5,695.83 ล้านบาท โดยใช้จ่ายจากเงินกองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานราก ดังนี้ ผู้มีบัตรฯ ที่มีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาท ในปี 2559 จะได้รับวงเงินเพิ่มเติม จำนวน 200 บาท/ เดือน/คน จำนวนเงิน 4,868.85 ล้านบาท และผู้มีบัตรฯ ที่มีรายได้เกิน 30,000 บาท ในปี 2559 จะได้รับวงเงินเพิ่มเติม จำนวน 100 บาท/เดือน/คน จำนวนเงิน 826.98 ล้านบาท

น.ส.สุทธิรัตน์ รัตนโชติ อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าวว่า วันที่ 28 ส.ค. 2561 ครม. มีมติเห็นชอบให้มีการปรับเปลี่ยนจากการเพิ่มวงเงินในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จำนวน 200/100 บาท เป็นการเติมเงินรายเดือนเข้ากระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐของผู้มีสิทธิแทน เพื่อเป็นการเพิ่มทางเลือกและกำลังซื้อให้ผู้มีสิทธิ สามารถนำเงินจำนวนดังกล่าวไปใช้จ่ายได้ตามความต้องการ เช่น ยารักษาโรค อาหาร รวมทั้งสามารถใช้เงินที่เติมลงบัตรในส่วนนี้ เพื่อชำระค่าสินค้าหรือบริการกับหน่วยงานหรือร้านค้าที่วางเครื่อง EDC ของโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือร้านค้าทั่วไป ที่วางเครื่อง EDC ที่มีสัญลักษณ์ PromptCard หรือร้านค้าที่รับชำระเงินผ่าน Mobile Application “ถุงเงินประชารัฐ”

ทั้งนี้ ผู้มีสิทธิที่เริ่มใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐในการชำระค่าสินค้าหรือบริการจากเงินที่เติมลงบัตรเป็นครั้งแรก จะต้องเปลี่ยนรหัส 6 หลักเดิม (เลขประจำตัวประชาชน 6 หลักสุดท้ายบนหน้าบัตร) จากเครื่อง ATM หรือ เครื่อง ADM หรือ สาขาของ บมจ. ธนาคารกรุงไทย ก่อนจึงจะสามารถใช้ได้ สำหรับผู้ที่ได้ใช้รหัส 6 หลักในการชำระค่าสินค้าหรือบริการ ผ่าน Mobile Application “ถุงเงินประชารัฐ” แล้ว สามารถใช้รหัสเดียวกันนี้ได้ทันที โดยไม่ต้องเปลี่ยนรหัสอีก ตลอดจนใช้ถอนเงินในส่วนนี้ได้ และควรเก็บรักษารหัสไว้อย่างดีเพื่อความปลอดภัย

อย่างไรก็ดี การปรับเปลี่ยนเป็นการเติมเงินรายเดือนเข้ากระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐของผู้มีสิทธิยังคงวัตถุประสงค์เดิม คือเพื่อช่วยบรรเทาปัญหาค่าครองชีพให้กับผู้มีรายได้น้อย และยังเป็นการส่งเสริมการเข้าสู่สังคมไร้เงินสด