เกาะติดข่าวดาราก่อนใคร

กดติดตาม “ทีวีพูล”

banner

ผู้สื่อข่าวได้รับรายงาน เมื่อวันที่ 26 ต.ค. ที่สำนักสถานปฏิบัติธรรมหลวงปู่หลำ หรือพระวีระ เทวถาโร บ้านสิมลี หมู่ 2 ต.เหนือ อ.เมือง จ.กาฬสินธุ์ มีประชาชน ศิษยานุศิษย์หลวงปู่หลำจากทั่วสารทิศ ใส่ชุดดำและชุดขาวไว้ทุกข์ เข้าสักการะสรีระหลวงปู่หลำ ภายในกุฏิ หลังทราบข่าวมรณภาพภาพด้วยโรคประจำตัวอย่างกะทันหัน เมื่อช่วงค่ำวันที่ 25 ต.ค. ที่ผ่านมา

โดยศิษยานุศิษย์ ต่างอยู่ในอาการโศกเศร้า ถึงแม้ว่าบางคนจะรู้ล่วงหน้ามาก่อนแล้วว่าหลวงปู่จะจากไป เนื่องจากท่านสั่งเสียบอกวันที่จะมรณภาพไว้ให้ทราบแล้ว และยังทำพินัยกรรมไว้ด้วย ทั้งเขียนข้อความไว้บนแผ่นกระจกหน้าห้องจำวัตรบนกุฏิ และบันทึกในข้อมูลคอมพิวเตอร์ส่วนตัว โดยเฉพาะหลวงปู่สั่งไว้ในวันออกพรรษา ก่อนที่จะเกิดขึ้นจริงในวันนี้ว่า “อีก 3 วันกูจะไปแล้ว”

นายสมเจตน์ ชะวาเขียว อายุ 69 ปี กล่าวว่า ตนฝากเนื้อฝากตัวเป็นลูกศิษย์หลวงปู่หลำมานาน 5 ปี เนื่องจากเกิดความเลื่อมใสในปฏิปทาของหลวงปู่ ที่เป็นพระนักปฏิบัติ เคร่งครัดในศีลธรรม มีความเมตตา อ่อนโยน กับลูกศิษย์และประชาชนทั่วไปอย่างเสมอภาค เดิมท่านธุดงค์มาจากต่างจังหวัด ก่อนที่จะมาบำเพ็ญภาวนาที่สำนักสงฆ์แห่งหนึ่งใน อ.ห้วยเม็ก จ.กาฬสินธุ์ จากนั้นได้ธุดงค์มาในพื้นที่ ต.เหนือ อ.เมืองกาฬสินธุ์ กระทั่งมีญาติโยม ผู้มีจิตศรัทธา ชาวบ้านสิมลี หมู่ 2 ต.เหนือ สละที่ดินประมาณ 7 ไร่ นิมนต์ให้หลวงปู่หลำ ปฏิบัติธรรมจำพรรษา และจัดตั้งเป็นสำนักปฏิบัติธรรมหลวงปู่หลำ เมื่อ 5 ปีที่ผ่านมา ตนและศิษยานุศิษย์ จึงได้ติดตามมาทำบุญและอุปัฏฐากหลวงปู่เรื่อยมา เหตุการณ์ละสังขารของหลวงปู่ จึงนำความโศกเศร้าให้กับศิษยานุศิษย์เป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นการจากไปอย่างปัจจุบันทันด่วน ทั้งนี้ ศิษยานุศิษย์และชาวบ้าน มีมติจะเก็บรักษาสรีระของหลวงพ่อไว้ในโลงแก้ว 15 ปี เพื่อเปิดโอกาสให้ศิษยานุศิษย์ประชาชนทั่วไป ได้มากราบไหว้ และแสดงความอาลัยกับหลวงปู่เป็นครั้งสุดท้าย

ขณะที่นางไพฑูรย์ อ่อนบัวขาว อายุ 49 ปี กล่าวว่า ตนเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่หลำมานาน 7 ปี ปกติหลวงปู่มีสุขภาพแข็งแรง และเริ่มจะมีอาการของโรคเบาหวานและความดันตามวัย 64 ปี แต่ก็ไม่มีอาการน่าเป็นห่วง โดยหลวงปู่จะบำบัดรักษาตามกรรมวิธีของแพทย์แผนปัจจุบันและธรรมะบำบัด ทราบว่าบางครั้งเบาหวานขึ้นสูงถึง 400 แต่หลวงปู่ก็สามารถผ่านวิกฤติมาได้อย่างปลอดภัย ยังควบคุมระดับน้ำตาลและดำเนินชีวิตมาได้อย่างปกติ ให้การอบรมพร่ำสอนธรรมะแก่ลูกศิษย์ลูกหาเป็นกิจวัตรประจำวัน และตลอดช่วงเข้าพรรษาที่ผ่านมา ไม่มีสัญญาณว่าหลวงปู่จะอาพาธแต่อย่างใด

ในส่วนที่หลวงปู่เขียนข้อความไว้บนแผ่นกระจกบนกฏิหน้าห้องจำวัตร เกี่ยวกับการจัดการสรีระสังขารนั้น จริงๆแล้วท่านบอกให้ลูกศิษย์คนหนึ่ง เป็นคนเขียนไว้นานแล้ว เช่น ห้ามนำสังขารย้ายไปที่ไหนเด็ดขาด ห้ามสวดมาติกาเด็ดขาด ห้ามฉีดยาโดยเด็ดขาด เพราะร่างจะไม่เน่าเปื่อย คงสภาพเดิมทั้งสีสันและลักษณะ และยังมีข้อห้ามอีกหลายข้อ

รวมทั้งบันทึกพินัยกรรมไว้ในคอมพิวเตอร์ส่วนตัวของหลวงปู่ แต่ตอนนี้ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ และในสาเหตุการมรณภาพภาพของหลวงปู่นั้น ถึงแม้จะเป็นเหตุการณ์ความสูญเสียที่ยังทำใจไม่ได้ แต่ลูกศิษย์ใกล้ชิดหลายคนก็พอจะรู้เป็นล่วงหน้า 3 วัน

โดยเมื่อวันออกพรรษาหลวงปู่เปรยขึ้นว่า “อีก 3 วันกูจะไปแล้ว” ซึ่งก็ไม่เข้าใจว่าหลวงปู่จะไปไหน นึกว่าท่านพูดเล่นด้วยซ้ำไป แต่เมื่อท่านมรณภาพจริงๆ จึงรู้คำตอบว่าท่านหยั่งรู้วาระสุดท้ายของตนเอง โดยมรณภาพอย่างสงบเมื่อคืนวันที่ 25 ต.ค. ที่หน้าห้องน้ำในกุฏิ